เจ้าของธุรกิจหลายท่านในกรุงเทพฯ มักเข้าใจผิดว่าการใส่ ‘Service Areas’ เยอะๆ บน Google Maps จะช่วยเพิ่ม Reach ให้ลูกค้าเห็นมากขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความจริงแล้ว สิ่งนี้กำลังทำให้ Google สับสน จนลดทอนความน่าเชื่อถือของหมุดปักหน้าร้านของคุณ และทำให้อันดับ Ranking ตกโดยไม่รู้ตัว? นี่คือกับดักเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบมหาศาล เรามาเจาะลึกความเข้าใจผิดนี้ เพื่อให้ธุรกิจของคุณเฉิดฉายในจุดที่สำคัญที่สุดกันดีกว่า
ที่อยู่หน้าร้าน คือสินทรัพย์ที่ทรงพลังที่สุดของคุณ
สำหรับเจ้าของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นคลินิกทันตกรรมย่านอโศก หรือบูทีคโฮเทลแถวสาทร “หมุดปัก” (Verified Pin) บน Google Maps คือสัญญาณที่ทรงพลังที่สุดในการบอก Google ว่าคุณคือใครและอยู่ที่ไหน หากโมเดลธุรกิจของคุณคือการที่ลูกค้าต้องเดินทางมาหาคุณ โฟกัสหลักควรอยู่ที่ “ที่อยู่จริง” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทุกอย่างอื่นคือเรื่องรอง
แล้วฟีเจอร์ “Service Area” มีไว้ทำไม? จริงๆ แล้วมันถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจที่ต้องเดินทาง ไปหา ลูกค้า เช่น ช่างประปา, ช่างไฟ หรือบริการล้างรถเดลิเวอรี่ ซึ่งมักไม่มีหน้าร้านให้ลูกค้าเข้าหา พวกเขาจึงต้องซ่อนที่อยู่และแสดงขอบเขตพื้นที่ให้บริการแทน แต่ถ้าคุณมีหน้าร้านชัดเจน การใส่ Service Areas เข้าไปจะส่ง Mixed Signals (สัญญาณที่ขัดแย้งกัน) ไปยัง Algorithm ของ Google ทำให้ระบบไม่แน่ใจว่าตกลงคุณทำธุรกิจแบบไหนกันแน่ ซึ่งท้ายที่สุดจะไปลดทอนความแข็งแกร่งของสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของคุณอย่าง “ที่อยู่หน้าร้าน” นั่นเอง
ความจริงที่ต้องรู้: Google กำลังเข้มงวดเรื่องขอบเขตพื้นที่
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะ Google เริ่มเข้มงวดมากขึ้นในการระบุตัวตนของธุรกิจ อ้างอิงจาก Google’s official guidelines ที่อัปเดตเมื่อต้นปี ระบุว่าในเดือนมิถุนายน 2025 ธุรกิจจะไม่สามารถระบุ Service Area กว้างระดับ “ทั้งประเทศ” หรือ “ทั้งจังหวัด” ได้อีกต่อไป แต่ต้องระบุเจาะจงเป็นเมือง เขต หรือรหัสไปรษณีย์เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เพื่อความเป็นระเบียบ แต่เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าที่ค้นหาจะได้รับผลลัพธ์ที่ “Local” และตรงโจทย์ที่สุด
นี่คือส่วนหนึ่งของเทรนด์ที่ใหญ่กว่านั้น เราเห็นยอดการระงับบัญชี (Suspensions) ของ Google Business Profile พุ่งสูงขึ้นมากในปี 2025 โดย Google มุ่งเป้าจัดการข้อมูลที่เป็นสแปมหรือชวนให้เข้าใจผิด การอ้างว่าคุณให้บริการในพื้นที่ที่คุณไม่ได้เดินทางไปจริง จะทำให้ความน่าเชื่อถือในสายตา Algorithm ลดลง เพราะระบบต้องการเชื่อมโยงคนที่ค้นหาในย่าน “อารีย์” ให้เจอกับธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอารีย์จริงๆ ไม่ใช่ธุรกิจจากเขตอื่นที่พยายามหว่านแหจับลูกค้าไปทั่ว
ความเชื่อผิดๆ: “ยิ่งใส่พื้นที่เยอะ ยิ่งได้ลูกค้าเยอะ”
มีความเชื่อผิดๆ ที่ฝังรากลึกว่า การใส่รายชื่อเขตใกล้เคียงยาวเป็นหางว่าวจะช่วยให้ร้านเราไปโผล่ในผลการค้นหาของย่านนั้นๆ เจ้าของธุรกิจหลายคนคิดว่าถ้าสำนักงานกฎหมายอยู่เพลินจิต แค่เติม “สยาม”, “ชิดลม” และ “นานา” ลงไปใน Service Area ก็จะทำให้อันดับขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งนี่คือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ การทำงานของ Local Search อย่างสิ้นเชิง อันดับของคุณในพื้นที่ใกล้เคียงต้องแลกมาด้วยความเกี่ยวข้อง (Relevance) และความโดดเด่น (Prominence) ไม่ใช่แค่การกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม
ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติคุณทำสปาหรูย่านทองหล่อ และอยากได้ลูกค้าจากพร้อมพงษ์ แทนที่จะแค่เติมคำว่า “พร้อมพงษ์” ลงในระบบ คุณควรสร้าง Real-world signals ที่จับต้องได้มากกว่า เช่น การได้รีวิวจากลูกค้าจริงที่บอกว่าเดินทางมาจากพร้อมพงษ์ หรือ เขียนบล็อกบนเว็บไซต์ เกี่ยวกับ “วันพักผ่อนสุดเพอร์เฟกต์สำหรับชาวพร้อมพงษ์” การกระทำเหล่านี้สร้าง Relevance และ Authority ที่ Algorithm ของ Google ให้ค่ามากกว่ารายการสถานที่เปล่าๆ หลายเท่า
กรณีศึกษา: บทเรียนจากคลินิกย่านสุขุมวิท
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เกิดขึ้นจริงกับลูกค้าท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของคลินิกทันตกรรมย่านสุขุมวิท เธอรู้สึกหงุดหงิดที่การมองเห็น (Visibility) บน Google Maps ค่อยๆ ลดลง ทั้งที่เธอพยายามใส่ Service Areas ไปกว่า 15 แห่ง หวังจะกวาดลูกค้าทั่วกรุงเทพฯ
ผลลัพธ์คือ Google สับสนว่าตกลงคลินิกนี้ให้บริการที่ไหนกันแน่ ทำให้การแสดงผลไม่สม่ำเสมอ แม้แต่กับคนที่ค้นหาอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่บล็อก เราจึงแก้เกมด้วยวิธีง่ายๆ คือ “ลบ Service Areas ออกทั้งหมด” แล้วหันมาทุ่มเทกับการสร้าง Reputation และ Relevance ให้กับที่อยู่หน้าร้านจุดเดียว ภายในไม่กี่สัปดาห์ อันดับในย่านหลักที่มีกำลังซื้อสูงของเธอก็นิ่งขึ้นและเริ่มไต่ระดับกลับขึ้นมาอย่างสวยงาม

ทางแก้ง่ายๆ: เคลียร์ข้อมูลให้คลีน
นี่คือ Action Plan สำหรับคุณ: ล็อกอินเข้า Google Business Profile ไปที่ส่วนข้อมูลธุรกิจ แล้วหาเมนู “Service areas” หากคุณเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้านให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ **ลบข้อมูลในส่วนนี้ออกให้หมด** ให้ที่อยู่จริง (Verified Address) ของคุณทำหน้าที่ของมัน ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นธุรกิจแบบ “Hybrid” จริงๆ เช่น คลินิกสัตว์แพทย์ที่มีบริการตรวจตามบ้านด้วย ในกรณีนี้ ให้ระบุเฉพาะเขตที่คุณเดินทางไปทำงานจริงเท่านั้น
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินปิดตา คุณจะรู้ได้ยังไงว่าทำแล้วลูกค้าใกล้บ้านเห็นเรามากขึ้นจริง? การเดาสุ่มไม่ใช่กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดี นี่คือเหตุผลที่เราใช้เครื่องมืออย่าง OnEveryMap เพื่อติดตามอันดับบนแผนที่ของลูกค้าแบบรายวัน ในทุกๆ ย่านที่มีผลต่อยอดขาย ช่วยให้เราเห็น Impact จากการปรับเปลี่ยนได้ชัดเจน เปลี่ยนปัญหาที่มองไม่เห็นให้กลายเป็นข้อมูลที่จับต้องได้ เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรเวิร์กโดยไม่ต้องมานั่งเดากัน
