ร้านสปาหรือบูทีคโฮเทลของคุณตกแต่งสวยงาม รีวิวก็ดีเยี่ยม แต่กลับหาไม่เจอบน Google Maps หรือเปล่า? คุณอาจกำลังเสียโอกาสได้ลูกค้า Walk-in ไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ “สื่อสาร” ภาษาเดียวกับ Google เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นเรื่องของ “ระเบียบ” มาดูกันว่าการจัดโครงสร้างเว็บไซต์ง่ายๆ จะช่วยดึงลูกค้าเข้าร้านได้อย่างไรบ้าง
จัดระเบียบเว็บไซต์ให้เหมือน “ตู้เก็บเอกสาร”
ปกติเวลาอายเดินผ่านซอยที่คึกคักในกรุงเทพฯ ร้านที่คนเข้าเยอะมักจะมีการจัดร้านที่ชัดเจน ป้ายบอกทางหาง่าย เว็บไซต์ของคุณก็ต้องการความชัดเจนแบบนั้นเหมือนกัน อยากให้ลองมองเว็บไซต์ไม่ใช่แค่โบรชัวร์ออนไลน์ แต่เป็น “ตู้เก็บเอกสาร” ที่จัดหมวดหมู่ไว้อย่างดี เพราะ Google จะเข้ามาดูเว็บไซต์เพื่อทำความเข้าใจว่าคุณทำธุรกิจอะไร และตั้งอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้แนะนำคุณให้กับลูกค้าได้ถูกคน
โครงสร้างที่ดีที่สุดคือความเรียบง่าย เริ่มจาก Homepage ที่เปรียบเหมือนตู้หลัก ควรระบุชัดเจนว่าคุณคือใคร ทำอะไร และให้บริการในพื้นที่หลักแถวไหน (เช่น “Boutique Hotel in Sukhumvit, Bangkok”) จากนั้นแยกแฟ้มสำหรับ Service Page แต่ละบริการ (เช่น “Rooftop Bar,” “Saltwater Pool,” “Meeting Rooms”) และถ้าคุณมีสาขาหรือให้บริการหลายพื้นที่ ก็ควรมีแฟ้มสำหรับ Location Page แยกต่างหาก (เช่น “Our Asoke Location,” “Our Silom Location”) การทำแบบนี้บอก Google ว่า “เราไม่ได้แค่มีตัวตน แต่เรามี บริการเฉพาะเจาะจงนี้ ใน สถานที่นี้” ซึ่งตรงกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังค้นหาพอดี
ทำไมคู่แข่งถึงอันดับดีกว่า (ทั้งที่เว็บไซต์ดูแย่กว่าของคุณ)
น่าหงุดหงิดไหมที่เห็นคู่แข่งที่เว็บไซต์ดูธรรมดามาก แต่อันดับกลับแซงหน้าเว็บไซต์ดีไซน์หรูของคุณ? สาเหตุไม่ใช่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นเรื่อง “ความชัดเจน” Google ไม่ได้จัดอันดับเว็บไซต์ที่ “สวยที่สุด” แต่เลือกหน้าเว็บ (Web Page) ที่ตอบโจทย์และมีโครงสร้างชัดเจนที่สุด คู่แข่งที่มีหน้าเฉพาะสำหรับ “Teeth Whitening in Thong Lo” มักจะชนะเว็บไซต์หน้าตาดีที่แค่เขียนคำว่า “Thong Lo” รวมๆ ไว้ใน Homepage เสมอ
อ้างอิงจาก Google’s own guidelines และสิ่งที่เราเห็นจากผลลัพธ์ของลูกค้าในปี 2025 กลยุทธ์สำคัญคือ การสร้างหน้าเพจเฉพาะสำหรับแต่ละพื้นที่บริการ หากคุณเป็นสำนักงานกฎหมายในเพลินจิตแต่อยากได้ลูกค้าจากบางนา คุณต้องมีหน้าเพจที่ระบุเรื่อง “Family Law Services in Bang Na” โดยเฉพาะ ถ้าไม่มีหน้านี้ คุณก็แทบจะล่องหนในสายตาลูกค้าที่ค้นหามาจากพื้นที่นั้น เว็บไซต์ของคุณต้องพูดภาษาเดียวกับ Google และภาษานั้นคือการมีหน้าเพจที่เฉพาะเจาะจงและจัดระเบียบมาอย่างดี

กับดักของการ “ยัดทุกอย่างไว้หน้าแรก”
เจ้าของธุรกิจหลายคนอยากประหยัดเวลาเลยใส่ข้อมูลทุกอย่างไว้หน้าเดียว ทั้งบริการทุกอย่าง ย่านที่ให้บริการ หรือประวัติบริษัท รวมไว้ใน Homepage ทั้งหมด โดยคิดว่า “ถ้าข้อมูลครบ เดี๋ยวลูกค้าก็หาเจอเอง” นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ การทำแบบนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้ Google เลย แต่มันคือการสร้าง “Noise” หรือสัญญาณรบกวนมากกว่า
ลองจินตนาการว่าลูกค้ากำลังค้นหาอะไรที่เจาะจงมากๆ เช่น “Pet-Friendly Hotel near Lumphini Park” ถ้า Homepage ของคุณแค่บอกว่าเป็น “Hotel in Bangkok” แล้วมีคำว่า “pet-friendly” แทรกอยู่ในลิสต์รายการยาวๆ Google มีแนวโน้มที่จะไม่แสดงเว็บของคุณ แต่จะไปเลือกคู่แข่งที่มีหน้าเพจชื่อ “Your Pet-Friendly Stay Near Lumphini Park” แทน การพยายามเป็นทุกอย่างให้ทุกคนในหน้าเดียว จะทำให้คุณไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับใครเลย
จากสับสนสู่ความชัดเจน: ทางแก้ที่เห็นผลจริง
เมื่อเร็วๆ นี้อายได้ร่วมงานกับเจ้าของคลินิกทันตกรรมระดับไฮเอนด์ย่านอโศก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคลินิกเล็กๆ ที่เครื่องมือไม่ครบเท่าถึงมีอันดับดีกว่าในคำค้นหาสำคัญอย่าง “Invisalign specialist in Phrom Phong” สาเหตุนั้นง่ายมาก คือคู่แข่งมีหน้าเพจเฉพาะสำหรับบริการนั้นในย่านนั้น ในขณะที่เว็บไซต์ของเธอแค่พูดถึงบริการนี้รวมๆ ในหน้าบริการทั่วไป
การต้องมานั่งสร้างและจัดการหน้า Service/Location เหล่านี้ด้วยตัวเองเป็นเรื่องน่าปวดหัวและเสียเวลามากสำหรับเจ้าของธุรกิจ เพื่อแก้ปัญหานี้ เราจึงใช้ platform ที่ชื่อว่า OnEveryMap กับลูกค้าของเราเพื่อสร้างและจัดการหน้าเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เปลี่ยนงานเว็บไซต์ที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกบริการที่คุณมี จะมีหน้าเพจที่ลูกค้าค้นหาเจอในทุกย่านที่คุณต้องการทำตลาด